วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ที่มาของ ซี้ซั้ว

posted on 18 Feb 2012 22:17 by pbmath  in WONDERS
ซี้ซั้ว เป็นคำที่ยืมมาจากภาษาจีนแต้จิ๋ว 
ในภาษาจีนแต้จิ๋วคำว่า ซี้ซั้ว เป็นคำประสม 
มาจากคำว่า สี่ แปลว่า จำนวน ๔ กับคำว่า ซั้ว แปลว่า กระจัดกระจาย

ดังนั้น ซี้ซั้ว จึงมีความหมายตามตัวอักษรว่ากระจัดกระจายออกไปทั้ง ๔ ทิศ 
หมายถึง ไม่เจาะจง ไม่ระมัดระวัง ไม่มีเป้าหมายในทิศใดทิศหนึ่ง  
ใช้เปรียบการพูดหรือทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยไม่ยั้งคิด 
ไม่พิจารณาตรวจสอบข้อเท็จจริงให้ถูกต้องก่อนพูดหรือก่อนทำ 
และไม่รับผิดชอบกับคำพูดของตนหรือการกระทำของตน


ในภาษาไทย ซี้ซั้ว มีความหมายว่า มักง่าย, ลวก ๆ เช่น 
เวลาไม่สบาย อย่าซื้อยามากินซี้ซั้ว จะทำให้โรคดื้อยา
และยังใช้ในความหมายว่า พูดหรือทำไปอย่างส่ง ๆ โดยไม่คิดหรือไม่รับผิดชอบ 
เช่น เวลาเลือกตั้ง ส.ส. จะซี้ซั้วเลือกไม่ได้ ต้องเลือกแต่คนดีและมีคุณธรรมเท่านั้น


ที่มา:บทวิทยุรายการ "รู้ รัก ภาษาไทย" ออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย 
เมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๔ เวลา ๗.๐๐-๗.๓๐ น.
 
คัดลอกมาจาก ราชบัณฑิตยสถาน

296.คนข้างๆ(Beside)

posted on 14 Feb 2012 09:13 by pbmath  in PEACEMAKER
ความสุขคืออะไร? คำถามที่เราอาจจะเคยได้ยินมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง 
ซึ่งบางคนอาจจะคิดถึงความสุขที่อยู่ไกลออกไป แต่สำหรับ 25 hours
นั้น 
เลือกที่จะหยิบความสุขกับการที่มีคนที่เรารักอยู่ข้างๆกาย
มาร้อยเรียงเป็นเพลงซิงเกิ­­ลที่ 3 จากอัลบัม Colour In White

"คนข้างๆ" (Beside)
เพลงที่พูดถึงความรู้สึกดีดีที่เกิดขึ้น เมื่อเรามี"คนข้างๆ"
ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว,เพื่อน,หรือใครก็ตาม
ที่เข้ามาเป็นส่วน­­หนึ่งใน"การเดินทาง"ในชีวิตของเรา

 
เธอเห็นขอบฟ้านั้นไหม สักวันจะพาเธอไป 
บนทางที่มี บางทีก็หกล้ม ไม่เป็นไร
มีเธอเป็นเพื่อนร่วมทาง จับมือเคียงข้างไม่ห่าง 
แค่นี้ก็พอ ชีวิตก็มีครบแล้วทุกอย่าง

*ทำทุกวันที่มีงดงาม ด้วยกัน เชื่อว่าวันดีๆ มันจะรออยู่ที่ปลายทาง

**แค่เธออยู่ข้างๆ ก็เปลี่ยนให้ชีวิตฉันไม่เหมือนเก่า เธอทำให้ถนนของฉันสวยงาม
ในวันที่เราเริ่มเดินทาง แค่เพียงให้เธอเดินกับฉันข้างๆ 
ก็ทำให้โลกนี้ ก็สดใส  สวยงามไปทุกอย่าง
 
ที่นี่คือโลกอีกใบ ที่นี่จะไม่มีใคร 
แค่เธอกับฉัน ที่รู้ว่าโลกนี้เป็นยังไง
 
ขอขอบคุณ 25hours และคนข้าง ๆ เราทุกคน ^_^
บางตอนจากหนังสือ "คิดต่าง สร้างใหม่" เป็นการพูดคุยกันระหว่างพ่อกับลูก
 
อีกหนึ่งช่วงเวลาที่เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อในชีวิต คือชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 
ซึ่งมันก็มาพร้อมกับการสอบเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย ในช่วงที่ใกล้จะสมัครสอบ 
ผมก็ยังตัดสินใจไม่ได้ซักทีว่าจะลงคณะไหน เรียนอะไร เย็นวันหนึ่งจึงเดินเข้าไปคุยกับพ่อ 


ธรรม : พ่อครับ! ผมจะเลือกเรียนคณะไหนดี ให้มันจบออกมาแล้วมีงานที่ดีทำ 

พ่อ : สิ่งที่ลูกจะเรียนนะ พ่อเลือกไว้ให้ตั้งแต่แรกแล้ว 

ธรรม : อะไรเหรอพ่อ 

พ่อ : สิ่งที่พ่อจะให้ธรรมเรียนก็คือสิ่งเดียวกันกับสิ่งที่อยู่ในใจธรรมนั่นแหละ 
ชอบอะไรก็เรียนอันนั้นไปเลยเพราะสิ่งที่
ลูกชอบกับสิ่งที่ลูกเรียนมันจะอยู่กับลูกไปตลอดชีวิต
ดังนั้นลูกคือคนตัดสินใจ พ่อว่านะ! จะเรียนอะไรก็ตามแต่ 

ไม่ต้องไปห่วงหรอกว่าจบมาแล้วจะมีงานแบบไหนให้เราทำ 
เพราะว่ามัน “ไม่มีงานใดหรอกที่ต่ำ 
ถ้าเราทำด้วยใจที่สูง” 

ธรรม : ครับพ่อ! แต่แม่หรือญาติๆก็อยากให้ผมเรียนหมอกันทั้งนั้น ก็มันมีทั้งเงิน มีทั้งเกียรติ
สังคมไทยก็ยอมรับว่าเป็น 
อาชีพอันดับหนึ่ง แต่ผมก็ไม่ได้อยากเป็นเท่าไหร่หรอก เอาไงดีพ่อ! 

พ่อ : งั้นพ่อขอถามอะไรเราซักข้อนะ ธรรมคิดว่าอะไรที่มันสำคัญที่สุดในโลกนี้ 
อากาศ, น้ำ, ดิน, มนุษย์, สัตว์ 
หรือธรรมคิดว่าอะไร 

ธรรม : เอ่อ! อืม! ไม่รู้ซิพ่อ 

พ่อ : น้ำหยดเล็กๆมันทำให้เกิดผืนป่า ป่าย่อยๆมันช่วยฟอกอากาศให้สดชื่น 
อากาศเพียงน้อยนิดทำให้เกิดสิ่งมีชีวิต ชีวิต
มนุษย์พักพิงอยู่บนผืนแผ่นดิน
หรือแม้แต่จุลินทรีย์ที่ดูไร้ค่ามันยังช่วยย่อยสลายสิ่งต่างๆให้เกิดสมดุล 

พ่อเองก็ไม่รู้
เหมือนกันหรอกนะว่าสิ่งไหนมันสำคัญที่สุดในโลก 
รู้แต่ว่าถ้าขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไป โลกใบนี้มันก็จะไม่เป็นโลก
อีกต่อไป
แล้วมันจะมีอาชีพไหนไหมละลูกที่ดีที่สุดหรือสำคัญที่สุด 
มันอยู่ที่ตัวเราจะมองจะตัดสินใจต่างหาก 

อย่าตัดสินใจอะไรเพียงเพราะบรรทัดฐานของสังคมจนเกินไป 

ธรรม : เข้าใจแล้วครับพ่อ 

พ่อ : สิ่งที่ลูกต้องเรียนก็เรียนตามหัวใจตัวเองนั่นแหละ 
ไม่ต้องห่วงหรอกว่าจบออกมาแล้วจะมาทำอะไร 
เพราะไม่
ว่าจะทำอะไรขอแค่ทำให้มันสุดๆ 
เพราะมันจะเป็นความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่เวลาที่เราบอกใครไปว่า 

“เราเก่งในสิ่งที่เราเป็น” 
แม้ว่าหน้าที่นั้นมันจะเป็นเรื่องที่เล็กน้อยต้อยต่ำเพียงใดก็ตาม 

และมีอีกสิ่งหนึ่งที่พ่อ 
อยากจะบอกลูกมากคือ 
อย่าไปดูถูกใครหรือดูถูกอาชีพใดๆ
เพียงเพราะเราคิดว่าเขา “โง่” หรือ 
ต้อยต่ำ 
ในโลกนี้ไม่เคยมีคนโง่ ทุกคนล้วนแต่เป็นคน “อัจฉริยะ” เพราะ
ถ้าเราไปตัดสินปลาโดยใช้ความสามารถในการปีนต้นไม้ ทั้งชีวิตมันก็จะคิดว่ามันโง่” 

ธรรม : ขอบคุณครับพ่อ 

วันนั้นหลังจากที่ผมคุยกับพ่อเสร็จ ผมก็ตัดสินใจได้ว่า
สิ่งที่ผมต้องการจะเรียนในมหาวิทยาลัยคือสิ่งใด

และมีอีกสิ่งหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้มันก็คือ 
“ใจเราเป็นเช่นไร โลกเราก็จะเป็นเช่นนั้น 
ถ้าใจเราแคบโลกของเรามันก็แคบ ถ้าใจเรากว้างโลกของเรามันก็กว้าง 
และถ้าใจเราสว่างต่อให้โลกมืดซักแค่ไหนก็จะยังคงเห็นทางไปเสมอ” 

อย่าไปดูถูกใคร อย่าไปดูถูกอาชีพใด 
เพราะถ้าขาดใครไป โลกนี้มันก็คงไม่น่าอยู่อีกต่อไป 


ในโลกนี้ไม่เคยมีคนที่ "ไร้ค่า" 
มีเพียงแค่คนที่ "เห็น" หรือ "ไม่เห็น" คุณค่าในตนเอง 

"ดินหนึ่งก้อนอาจมีค่ามากกว่าทองหนึ่งก้อน 
เพราะอย่างน้อยต้นไม้ก็ไม่สามารถงอกเงยได้บนก้อนทอง"
 
บทความนี้คัดลอกมาจากหนังสือ อาจารย์ในร้านคุกกี้ โดยนิ้วกลม
 
ช่วงนี้ผมได้รับคำถามจากน้อง ๆ ที่รู้จักกันหลายคนในคำถามเดียวกันว่า 
มีวิธีจัดการกับความล้มเหลวที่พุ่งเข้ามาเป็นชุดต่อเนื่องกันอย่างไรบ้าง 
บางคนมีความฝันที่ชัดเจนมีความมุ่งมั่นเต็มที่ 
แต่เมื่อล้มเหลวหลายครั้งติดต่อกันก็ชวนให้ท้อใจ

ผมบอกน้องไปว่า ถ้าอยากชนะคงต้องยืนระยะ แล้วก็ลองหันไปมองดอกไม้
ต้นไม้บางชนิดนั้นไม่ได้มีดอกทุกฤดู ดอกไม้สวย ๆ ต้องรอเวลา รอดินฟ้าอากาศเป็นใจ
ไม่มีใครไปเร่งต้นไม่ให้ออกดอกได้ ไม่มีใครสามารถเร่งดอกไม้ให้ผลิบาน
ดอกไม้ทุกดอกล้วนรอกาลเวลาที่เหมาะสม แล้วมันจะเผยความงามออกมาให้เราชื่นชมเอง
ข้อแม้สำคัญคือต้นไม้ต้นนั้นต้องหยัดยืนต่อสู้กับสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายผ่านฤดูกาลต่าง ๆ ไปให้ได้
แล้ววันหนึ่งดอกไม้ก็จะบาน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น